วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

fckmerakme : 3 You’re C U T E.




3

You’re C U T E.



                ผมแบคฮยอนเองครับทุกคน (พูดเพราะไปมั้ยนะ ไม่ใช่นิสัยผมเลย ฮ่าๆ)

                ยังจำวันก่อนนู้นได้มั้ยครับ ที่ไอ้โด้มันไล่ให้ผมกับชานยอลกลับด้วยกัน ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เพราะผมชิ่งขึ้นแท็กซี่แถมปิดประตูกระแทกหน้ามันอีกต่างหาก แล้วผมก็หยุดเรียนซักสามวันให้มันคิดถึงผมเล่นๆ ก๊ากๆ

                วันนี้ผมก็เลยมาที่มหาลัยครับ กลัวว่าหายไปนานจะเรียนไม่รู้เรื่อง 

                แต่ทว่า...

                “น้องคะ! วันนี้เรามีค่ายจิตอาสามาเสนอค่า แนะนำว่าน้องๆ นิเทศปีหนึ่งทุกคนควรไปน้า ถ้าไม่ไปเนี่ยเสียดายแย่เลย และที่สำคัญ... ถ้าน้องไม่เข้าร่วมค่ายนี้ น้องจะติด F ทุกวิชาเลยจ้าาาาา” มีอาเจ๊คนนึงมาประกาศเรื่องเข้าค่ายหน้าห้องเลกเชอร์ ประโยคสุดท้ายทำเอาทุกคนตื่นตัวเลยทีเดียว -O-

                “ไปวันไหนถึงวันไหนครับ!!?” เสียงคนข้างตัวผมดังขึ้น เหอะๆ ก็ใครล่ะที่เสนอหน้ามาเกาะผมได้ทั้งวี่วันแบบนี้ ไอ้ชานยอลไงคร้าบบบบบบ

                “ไอ้เหี้ยชานยอลมันจะรีบอยากรู้ทำไมวะ อายชาวบ้านเค้าหมด -_-;” เซฮุนรีบหลบลงไปใต้โต๊ะ เพราะพวกหน้าห้องหันขึ้นมามองตามต้นเสียง

                “ต๊ายย มีน้องอยากรู้ด้วยอ่ะ >O< ไปจันทร์-ศุกร์หน้าเลยจ้า จัดเสื้อผ้ากันเลยน้าทุกคน ว่าแต่คนข้างๆ น้องชื่ออะไรอ่ะ > / / <?” ยัยเจ๊ถามไอ้ชานยอล งั้นแปลว่าเจ๊อยากรู้ชื่อกูชิมิ?

                “ชื่อ...” ขณะที่ผมกำลังจะตอบ ชานยอลก็เอามือปิดปากผมก่อนที่จะตอบเอง

                “ชื่อไคคร้าบบบบบบ” 

                “อ้าวไอ้เหี้ย พาดพิงกูอีก ห่านี่ หวงเมียแต่อย่าเอากูไปเกี่ยวด้วยได้มั้ยวะ” ไคด่ากลับมา เออ ไม่เป็นไร เห็นหนังหน้าเจ๊แล้วกูขอชื่อไคไปซักพักนะ 555555

                “เอาล่ะทู้กคนนนน เอาเป็นว่าวันจันทร์หน้าเจอกันที่หน้าคณะเวลาเก้าโมงเช้านะจ๊ะ ^O^ น้องไคมาให้ได้น้า” ว่าแล้วเจ๊ก็ออกไป 

                “เหี้ยยยยย ฟังแล้วมันหลอนว่ะ -O-!! เจ๊แม่งมองหน้ามึงแต่เรียก ไคๆๆ อยู่ได้ น่ากลัวชิบหาย” ไคหันมาบ่นใส่ผม ก่อนที่จะเปลี่ยนไปด่าคนข้างๆ ผมแทน “ไอ้ชานยอล มึงก็อีกคน อย่ามาพาดพิงกูดิ๊ แล้วก็ไม่ต้องอยากรู้อะไรให้มันมากมายได้มั้ยวะ เดี๋ยวเจ๊แม่งก็ประกาศต่อเองแหละสัส” 

                “กูกลับก่อนนะ” จู่ๆ ไอ้โด้ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บกระเป๋า

                “เฮ้ย รีบกลับไปไหนวะ” ผมทักขึ้น

                “โถ คยองซูผู้แสนดีคงจะรีบกลับไปจัดเสื้อผ้าเตรียมตัวไปค่ายน่ะ” เซฮุนแซว

                “จัดเสื้อผ้าพ่อมึง กูปวดหัวหน่อยๆ พวกมึงจะไปไหนต่อก็ไปเหอะ ถ่ายรูปมาฝากด้วย” โด้พูดอย่างเนือยๆ ก็คงจะจริง เพราะวันนี้มันไม่พูดไม่จาอะไรเลย 

                “โด้ วันนี้กูไม่ไปนอนนะ” ไคพูดขึ้น ช่วงนี้มันพูดประโยคนี้บ่อยมากกก เอ๊ะๆ หลายคนคงสงสัยว่าทำไมไคต้องนอนกับโด้ใช่มั้ยครับ?

                พวกมันแชร์ห้องร่วมกันไงล่าาาา~
                คุณชายโด้ผู้แสนจะบ้านรวย ซื้อคอนโดออกมาอยู่เอง แล้วไอ้ไคก็ขอไปแชร์ห้องด้วย แต่หนูโดโด้ของเราไม่คิดตังค์ครับบบบ ขอแค่ให้ไคมานอนทุกคืนก็พอ

                แต่หลายเดือนมานี่ ไคไม่ค่อยกลับไปนอนเลยครับผม (._.)

                “กูไปส่งมั้ย?” บยอนแบคฮยอนผู้หล่อและแสนดีพูดขึ้นครับ 5555

                “ไม่ต้องหรอก” โด้รีบพูดรีบเดินไปทันที 

                มันจะมีอะไรทะแม่งๆ เกิดขึ้นรึเปล่านะ?



กลางดึก
 
                “อือ...” คยองซูครางขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้านวมหนา วันนี้เป็นวันที่เดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็หนาว เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมหัวยังหนักอึ้งราวกับมีหินหนึ่งตันวางทับอยู่

                “เป็นไข้ปะวะกู” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียง 

                ตึง!

                เขาล้มลงไปนอนกับพื้นด้วยความเวียนหัว ศีรษะกระแทกกับพื้นเข้าอย่างจัง ทำเอามึนหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก แต่ก็ยังอุตส่าห์ดันตัวเองขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะลุกไปเอายาให้ได้

                “อาการหนักทำไมไม่บอกกู” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น คยองซูเงยหน้าขึ้นไปตามเสียง ปรับโฟกัสสายตาเล็กน้อยและพบว่า เจ้าของเสียงคือ... ไค

                “ไม่รู้ว่ามันจะหนักขนาดนี้” คยองซูพยายามพูดให้ประโยคสั้นที่สุดเพราะยิ่งพูดมากก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อย

                “นอนเฉยๆ” ไคสั่ง ก่อนที่จะจับแขนข้างหนึ่งของคยองซูแล้วช่วยพยุงจนลงไปนอนบนเตียงอุ่น

                “ไค...”

                “...”

                “ไม่ต้องมาอยู่นี่หรอก ไปหาแทมินเถอะ” เขารู้ตัวว่าประโยคที่พึ่งพูดออกไปมันเป็นการประชดตัวเองชัดๆ

                “น้องแทมินเค้าไม่อยู่ ไปต่างประเทศสามอาทิตย์ กูเลยต้องมาอยู่นี่ไง”

                เจ็บ...
                ไม่ใช่แม้แต่ตัวสำรองด้วยซ้ำ...

                “เดี๋ยวกูไปหยิบยาให้ ไม่ต้องพูดมาก” ไคทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินไปที่ตู้ยา แม้เขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องยามากนัก แต่สำหรับคยองซูแล้ว เขารู้ว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้อย่างไร เพราะคยองซูมักจะเป็นไข้ ปวดหัวแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไคค่อนข้างชินในการจัดยาและดูแล

                “อ่ะ กินซะ” แทนที่จะยื่นยาให้เฉยๆ ไคกลับเอายามาจ่อที่ปาก

                ป้อน?

                “อ้าปากดิเห้ย อาาาา...” เมื่อคยองซูไม่ยอมอ้าปากซักที ไคจึงต้องเร่งด้วยการทำเสียงอาเหมือนป้อนยาเด็ก คยองซูจึงอ้าปากอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่อยากถูกป้อนแบบนี้ เพราะมันทำให้ใจของเขาเต้นแรงถี่ทุกขณะ

                “น้ำตามด้วยเห้ย อ่าวไอ้ห่า กลืนเฉยเลย แดกน้ำตามด้วยเด๊” ไคหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจ่อปากคยองซูอีกครั้ง แต่คยองซูก็กลืนยาลงไปเลยเพราะไม่อยากให้ไคทำอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว 

                “ไม่เอา นอนละ” คยองซูดันตัวเองให้นอนลงกับเตียงและเอาผ้าห่มคลุมโปงทันที

                “ห่านี่ เช็ดตัวด้วยยยยย” ไคลากเสียงยาว ยืนเท้าสะเอวจ้องผ้าห่ม

                “ไม่เอา” เสียงเล็กๆ อู้อี้ออกมาจากข้างในนั้น

                “กู-จะ-เช็ด” ไคดึงผ้าห่มออกอย่างแรงจนผ้าห่มลงไปกองกับพื้น ก่อนที่จะบิดผ้าให้หมาดและบรรจงเช็ดตัวคยองซูอย่างระวัง ถึงปากของไคจะไม่ดีและมักจะดุอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเขาดูแลอะไรบางอย่าง เขาก็จะทะนุถนอมสิ่งนั้นราวกับเป็นปุยฝ้ายนิ่มๆ 

                “กูจั๊กจี๋อ่ะ” คยองซูบ่นเมื่อไคเช็ดไปถูกจุดอ่อนไหว อย่าคิดไกล... แค่ใบหู

                “จะจั๊กจี๋แป๊บเดียวหรือจะเป็นไข้ตลอดชาติ? เลือกมา”

                “จั๊กจี๋แป๊บเดียว” คยองซูตอบอ้อมแอ้ม ก่อนที่จะปล่อยให้เช็ดตัวอยู่อย่างนั้น 

                “มึง กูร้อนอ่ะ เปิดแอร์ให้หน่อย” คยองซูพึมพำเบาๆ เมื่อรู้สึกร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ

                “ไข้มันจะหายแล้ว ทนร้อนไป” ไคสั่งก่อนจะเอาผ้าที่เช็ดไปเก็บ ระหว่างนั้น คยองซูก็แอบเปิดแอร์จนได้ 

                “สัสโด้! กูบอกว่าอย่าเปิดแอร์ไงวะ!” เมื่อไคเดินเข้ามาก็เห็นคยองซูกำลังนอนแหกแข้งแหกขา รับลมเย็นเต็มที่ แม้แอร์จะยังไม่ทำงานแต่คยองซูก็นอนผึ่งรอแอร์มาอย่างเต็มที่

                “ก็มันร้อนอ่ะ” คยองซูพูดในลำคอก่อนที่จะใช้ดวงตากลมโตนั่นมองอ้อน

                “สัสโด้ กูบอกมึงหลายรอบแล้วใช่มั้ยว่าถ้ามึงเป็นไข้แล้วตามึงฉ่ำมาก...”

                “...”

                “มันน่ารัก”

                O_O” คยองซูเบิกตากว้างกับคำที่ไคพูดออกมา ก็จริงที่ไคเคยบ่นว่าถ้าเขาเป็นไข้แล้วเขาจะตาฉ่ำมาก แต่ประโยคที่พึ่งพูดล่าสุดไม่เห็นจะเคยได้ยิน!

                “ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น นอนได้ละ” ไคเลี่ยงที่จะไม่สบตาก่อนที่จะล้มตัวนอนข้างๆ คยองซูทันที เขาเองก็ตกใจว่าตัวเองเผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกไป 

                “ไม่กลัวติดไข้หรอ” คยองซูพูดพร้อมรอยยิ้ม เขายังไม่สามารถหุบยิ้มจากคำพูดเมื่อกี้ได้

                “ไม่ติดหรอก นอนๆ ไป กูไม่อาบน้ำนะ ไม่มีอารมณ์” เมื่อพูดจบ ไคก็รีบเลี่ยงหันข้างไปอีกทางทันที เพราะปกติแล้ว ถ้าไคไม่อาบน้ำจะมานอนเตียงเดียวกันไม่ได้เด็ดขาด

                “อื้ม” คยองซูยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ไคแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมครั้งนี้มันถึงอนุญาตให้นอนบนเตียงได้ทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

               
                ทิ้งให้ใครอีกคน นอนยิ้มอยู่คนเดียว...
            มันน่ารัก             




ย้อนเวลากลับไปตอน 1 ทุ่ม

                หลังจากไอ้โด้จอมอ่อนแอกลับไปแล้วและแก๊งค์หลังห้องหล่อๆ อย่างพวกผมนั่งอ่อยสาวหน้าคณะเสร็จ ผมก็หนีไอ้ฟันเยอะได้อีกวันหนึ่ง เพราะทำเป็นแอ๊บแบ๊วขอดูแว่นมัน พอมันถอดให้ก็วิ่งหนีแถมโบกรถเมล์กลับบ้านทันที 55555 มันจะมองไม่เห็นหรือกลับบ้านไม่ได้ก็ช่างหัวมัน เอาเป็นว่าตอนนี้ผมถึงบ้านแล้ว ก็เลยนอนแหกแข้งแหกขาผึ่งแอร์อย่างเต็มที่กลางห้องนั่งเล่นที่บ้านน่ะคร้าบบบ

                ตะดึ๊ง!
            ข้อความเข้าจาก Unknown

                “ใครฟะ” 

                แบคฮยอนนนนน ’ 

                “เหี้ยยยยยย ใครอีกวะ!!” ข้อความที่ส่งมามันช่างเสียวสันหลังเหลือเกินครับท่าน คงจะไม่มีพวกโรคจิตแอบดูผมอยู่แถวนี้ใช่มั้ย!

                ตะดึ๊ง!

                “...” นิ่งเงียบสยบทุกสิ่งครับ

                ตะดึ๊ง!
                ตะดึ๊ง!

                “เหี้ยยยยยยยย T^T แม่จ๋า ช่วยแบคด้วยยยยยย” ผมไม่กล้าดูโทรศัพท์เลยจริงๆ ก็เลยต้องเรียกหม่อมแม่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยอัตโนมัติ

                “อะไรของมึงอีกล่ะไอ้หมาแบค เห็นมั้ยเนี่ยชั้นทำอะไรอยู่!” แม่ตะโกนตอบกลับมา ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าความห่ามของผมได้มาจากใคร เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ...

                “เห็นคร้าบบบบ ว่าคุณแม่กำลังทาเล็บอย่างสวยเช้ง แต่แม่ไม่ได้ยินเสียงข้อความหรอ มันน่ากลัวชิบเป๋งเลยอ่ะแม่” ผมเกาะขาแม่อย่างเด็กๆ ก่อนที่จะมองไปที่โทรศัพท์อย่างระแวง เอาเข้าจริงเวลาอยู่กับคนที่รักที่สุดในชีวิตแล้ว ผมจะทำตัวเป็นเด็กดี น่ารักมุมิสุดๆ เลยแหละ 55555

                “นี่แน่ะ!” แม่ผลักหัวผมเต็มแรง -_-; “ดูเสะ! ทาเบี้ยวเลยเห็นมั้ย เพราะมึงมาโดนตัวแม่เนี่ย ต้องล้างแล้วทาใหม่อีก! แม่ขอสั่งให้มึงไปดูข้อความบัดเดี๋ยวนี้” 

                “...” คิดดูเถอะครับ ผมไม่กล้าจะต่อกรอะไรกับนางจริงๆ คุณเองก็อย่าได้ริอาจนะครับ เรื่องปากเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องลงไม้ลงมือเป็นอันดับศูนย์ครับ T^T


            ผมมองไม่เห็นอะไรเลยอ่ะ
            ผมยังไม่ได้กลับบ้านเลยนิ
            อยู่หน้าคณะคนเดียว TT กลัวอ่ะครับ


                หลังจากที่ได้เห็นข้อความทั้งสามก็พอจะรู้แล้วแหละว่าใครเป็นคนส่งมา  -_-; แว่นไอ้บ้านั่นก็อยู่ในกระเป๋าเรียนผม เอาไงดีวะ -_-?

                คงต้องพึ่งท่านหญิงแม่ซะละ -O-'

                “แม่!
                “ไอ้แบคฮยอนนน! มึงเรียกแม่หาอะไรคะลูกกก เบี้ยวอีกแล้ววว” 

                “ขอโทษฮับ แต่แบบว่า สมมติว่าแม่แกล้งหยิบแว่นเพื่อนมาจากมหาลัย แล้วตอนนี้มันกลับบ้านไม่ได้เพราะมองไม่เห็นอะไรเลยอ่ะ แม่จะกลับไปคืนมันปะ?” ผมหันไปคุยกับแม่อย่างจริงจัง นางหยุดทาเล็บนิ่งคิดไปเล็กน้อย

                “คืนดิไอ้บ้า ถ้าเพื่อนมึงโทรฟ้องแม่มันขึ้นมา แล้วแม่มันมาตบชั้นถึงบ้านนะไอ้แบค แม่จะไล่มึงออกจากบ้าน” แม่ตอบอย่างไม่สนใจอะไรนัก ครับ นางเป็นคนแบบนี้ แต่รู้ไว้เถอะว่าถ้าเรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมา ผมโดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ แน่

                “ไปก็ได้วะแม่ง -_-;” ผมลุกขึ้นยืนอย่างเนือยๆ ก่อนจะเดินจากบ้าน

                โดยไม่ได้หยิบกระเป๋าเรียนมาด้วยน่ะสิ...



หน้าคณะ

                คุณเคยขำอะไรสุดใจมั้ยครับ 5555555

                ผมต้องยืนขำอยู่นานราวหนึ่งนาทีเต็มๆ เมื่อเห็นภาพไอ้เอ๋อชานยอลกำลังนั่งเงียบๆ มืดๆ คนเดียวบนม้านั่ง แสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ไม่ได้ส่องมาถึงมันเลยด้วยซ้ำ (ก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นอ่ะนะ -*-) สายตาของมันดูเหม่อลอยและไร้จุดหมายมากๆ ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่มีหนทางจะกลับบ้านแล้ว 5555555

                “น่าสงสารจังงงง” สุดท้ายแล้วด้วยความสงสารก็ต้องเดินเข้าไปหามัน

                “แบคฮยอนนนนนนนนน T^T” พูดจบมันก็ดึงผมเข้าไปกอดทันที!!

                “ปล่อยกูไอ้หมาบ้าาาาา!!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากกอด มันยอมปล่อยง่ายๆ ครับแต่แล้วมันก็ตั้งคำถามที่ทำให้ผมยืนเอ๋อไปหลายวินาที

                “ไหนแว่นผมอ่ะครับ?”

                “...” (อีชิบหาย แว่นมัน...)
                “...” (อยู่ในกระเป๋าเรียน...)
                “...” (แต่กระเป๋าเรียนแม่ม...)

                “ตกลงว่า?”

                “อยู่บ้านกู -_-^” แบคฮยอนตอบเซ็งๆ

                “งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ^^” มันยังคงยิ้มแย้ม ประทานโทษนะครับ ไอ้บ้าชานยอลนี่มันรู้จักคำว่า อารมณ์เสียมั้ยฟระะะะะ =[]=!! 

                “ทำไม?”

                “แบคฮยอนก็พาผมไปบ้านแบคฮยอนไง พอเอาแว่นเสร็จผมก็จะได้ค้างที่นู่นคืนนึง วันรุ่งขึ้นผมก็ค่อยกลับบ้าน”

                “เออก็ได้... เอ๊ะ! อ่าวไอ้เหี้ยนี่ มึงไปบ้านกูแค่ไปเอาแว่นก็พอปะ? จะค้างคืนทำเตี่ยอะไรไม่ทราบวะสรึดดดดด” 

                “ก็ได้ -^-” ดูมันทำหน้า! เกือบล่อลวงกูแล้วยังมาทำหน้าทำตางอนเง้ากระเซ้ากระสอด สัสนี่ -_-! แต่ผมก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก ขี้เกียจพูดเยอะ ก็เลยลากๆ มันขึ้นแท็กซี่มา 

                “ถึงบ้านกูละ ออกตังค์ให้ด้วย” ผมพูดขึ้นหลังจากที่แท็กซี่มาจอดอยู่หน้าบ้านผม ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ขนาดกลางธรรมดาๆ ชานยอลส่งกระเป๋าตังค์ตัวเองให้ ดีล่ะ! กูขอแอบจิ๊กซักหมื่นวอนเถอะ

                “อย่าขโมยเงินผมครับ”

                “สัส กูแค่เห็นว่าแบงค์มึงยับ กูเลยจะแลกกับแบงค์ใหม่กูนี่ไงล่ะ” สุดท้ายผมก็ต้องควักแบงค์หมื่นวอนใหม่ๆ ของผมใส่กระเป๋าตังค์มัน -_-; ผมเปิดประตูรั้วก่อนที่จะดันตัวไอ้ฟันเยอะไม่ให้มันเดินเข้ามา 

                “ไม่ต้องเข้ามา ยืนอยู่นี่แหละสัส” ตอนนี้แม่ผมเปลี่ยนอิริยาบถแล้วครับ นางดูละครละ (คือวันๆ นางว่างมากจริงๆ 55555)

                “ไอ้หมาแบค เอาผัวเข้ามาในบ้านเลย” แม่ยังคงดูทีวีในขณะที่พูด พระเจ้า!! นางเป็นเจน ญาณทิพย์ฤๅเยี่ยงไรรรร?? นางไม่เห็นหน้ามันด้วยซ้ำนะ!!            

                ขอเล่าอะไรนิดนึงก่อนนะครับ แม่ของผมเองก็พอจะรู้ว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองมีรสนิยมอย่างไร เพราะผมเปิดตัวตั้งแต่อยู่ม.ต้นว่าผมชอบผู้ชายด้วยกันและเป็นฝ่ายรุก แม่เองก็ชอบเรื่องแบบนี้ครับ -_-; แถมยังเห็นว่าเป็นเรื่องสนุก แต่ครั้งนี้แม่มาแปลก ไม่พูดคำว่า เมียแต่เป็น ผัวแทนซะงั้น -O-

                “แม่! นั่นไม่ใช่ผัวแบคนะ เพื่อนต่างหากเพื่อน!!” ผมโวยวาย 

                “ผมปาร์คชานยอลครับคุณแม่ ^O^ สามีแบคฮยอนครับ” จู่ๆ มันก็โผล่พรวดเข้ามา ไอ้บ้านี่

                “ต๊ายยยยย หล่ออ่ะมึง ไอ้แบค มึงมีผัวหล่อแถมสูงเปรตแบบนี้ไม่เคยจะบอกแม่เลยนะ!” แม่เดินเข้าไปหาไอ้ชานยอลอย่างถูกอกถูกใจ มันยังมีหน้ามาก้มหัวนิดๆ ราวกับเป็นลูกเขยแม่คนใหม่

                “แม่!!! ที่ผ่านมาแบคมีแต่เมียนะแม่ T^T คนนี้ไม่ใช่นะแม่ ไม่ช่ายยยยยย!” ผมยังคงร้องโวยวาย ไอ้ชานยอลมองผมด้วยสายตาที่แปลกใจนิดหน่อย มึงคงจะไม่รู้สินะว่ากูเวอร์ชั่นน่ารักมันเป็นยังไง กร๊ากๆ

                “ก็ที่ผ่านมามึงมีแต่เมียไง แต่ละคนแรดชิบเป๋ง ครั้งนี้มึงก็มีผัวไงแบค หยุดดิ้นแล้วไปหาน้ำหาท่ามาให้ลูกเขยชั้นเดี๋ยวนี้” แม่ออกคำสั่ง ผมก็ต้องเดินไปรินน้ำมาให้ไอ้ชานยอลแต่โดยดี ระหว่างนั้นแม่ก็หยิบแว่นจากกระเป๋าเรียนของแบคฮยอนอย่างอารมณ์ดีก่อนจะใส่ให้มัน

                “อุ๊ยยยย พอใส่แว่นแล้วแบบ คาริสม่ามันกระจายอ่ะ *O* เข้าใจแม่ใช่มั้ยจ๊ะชานยอล”

                “ครับคุณแม่” ชานยอลตอบด้วยน้ำเสียงแบบมัน ยังไงล่ะ... นี่ผมไม่อยากจะพูดนะ! แค่จะบรรยายให้ฟังว่าเสียงมันนุ่ม, ทุ้ม, ต่ำ แต่ผมไม่ได้อะไรนะ ไม่ได้ชอบ แค่บรรยายให้ฟังนะเห้ยยยย!

                “โอ๊ยยยย เสียงทุ้มต่ำนี่อีก ~O~ ไอ้หมาแบค ถ้ามึงไม่ให้เค้าเป็นผัวก็ต้องให้เค้าเป็นเมียมึง อย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ย” แม่พูดขึ้นเมื่อเห็นผมกำลังเดินถือน้ำมาพอดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าผมตอนนี้มันมุ่ยขนาดไหน -_-^

                “ไม่ล่ะครับคุณแม่ ยังไงผมก็ต้องเป็นสามีแบคฮยอนครับ” ดูมันพูด!! แม่ก็เหมือนกัน ปรบมือชอบใจใหญ่!!

                “โอ๊ยแบคคคค นี่แม่ไม่อยากจะบอกนะ ที่มึงมาสารภาพว่ามึงเป็นเมะน่ะ แม่โคตรจะตกใจ ดูจากสภาพแล้วยังไงไอ้หมาบ้านี่ก็เป็นเมะไม่ได้ พอมีแฟนเป็นเคะยิ่งตกใจหนักกว่าเดิม แต่สุดท้าย...” แม่ทำหน้าเคลิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปที่มัน “ความเป็นเคะมันก็ปรากฏ กร๊ากกกกก”

                “แม่อ่ะ!! แม่เข้าข้างแบคดิ! แบคเป็นเมะ ไม่ใช่เคะนะแม่!” ผมพยายามจะแย้ง แต่คำพูดผมก็เป็นได้แค่สายลมพัดผ่าน T^T 

                “เอาอย่างนี้แล้วกัน คืนนี้นอนนี่นะลูก นอนเตียงเดียวกับไอ้แบคมันเลยแล้วกัน จะทำอะไรกันก็เชิญ อย่าเสียงดังรบกวนแม่ก็พอ โอเคนะลูก?” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงแจ่มใส ส่วนไอ้ห่านั่นก็ทำหน้าเป็นปลื้มสุดๆ มันเหล่มองมาที่ผมอย่างมีชัยเหนือกว่าด้วย! ไอ้สรึดดดดด!

                “แม่อ่ะะะะะ!” 

                “ส่วนมึง แบค! ถ้าชานยอลมาฟ้องว่ามึงไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับเค้าแล้วล่ะก็... มึงจะโดนไล่ออกจากบ้านเพราะแม่จะรับชานยอลมาเป็นลูกแทน เข้าใจ๊?”

                “ครับ (._.)” และผมก็ต้องก้มรับความจริงแต่โดยดี T^T



บนห้องนอนของผม

                เอาจริงๆ นะ ห้องผมอ่ะมันโคตรจะเล็ก เพราะแม่เอาห้องใหญ่ไปทำห้องนอนตัวเอง+ห้องเก็บของของนาง+ห้องแต่งตัวของนาง ผมเลยได้นอนห้องใต้หลังคาสุดจะเตี้ย ขนาดผมสูง 173 cm. นะ ถ้าวันไหนผมยาวหน่อยนี่หัวถูเพดานได้เลยอ่ะ -_-;

                แล้วไอ้ชานยอลล่ะ?

                “ห้องน่ารักจังครับแบคฮยอน” ตอนนี้ตัวมันงอเป็นกุ้งไปแล้ว กร๊ากๆ แต่ปากมันก็ไม่วาย ยังคงหยอดผมตัลหลอด

                “เงียบไปเลยมึง แล้วจะยืนอีกนานมะ? นั่งลงไปดิห่า เดี๋ยวก็ปวดหลัง” 

                “เป็นห่วงผมหรออออ *O*” เออ -*- กูเผลอพูดอะไรออกไป

                “ไม่ใช่! เดี๋ยวมึงปวดหลังก็มาโทษกู แล้วก็ไปฟ้องแม่กูอีก เสร็จแล้วกูก็ต้องนวดยาให้มึง เรื่องเยอะเรื่องแยะ เพราะฉะนั้นนั่งเดี๋ยวนี้ อย่ายืน!

                “...”

                “มึงเงียบทำไม”

                “ที่แบคฮยอนพูดมาทั้งหมดเนี่ย มันเข้าทางผมชัดๆ เลยอ่ะครับ... อิอิ” มันหัวเราะอิอิเสร็จก็เปิดประตูห้อง ตะโกนลงไปข้างล่างด้วยสีหน้าเจ็บปวดมาก

                “แม่คร้าบบบบ ชานยอลปวดหลังอ่ะ T^T ห้องแบคอยอนเค้าเตี้ยไปหน่อยอ่ะ ผมต้องงอตัวตลอดเวลาเลยอ่ะครับ” 

                “งั้นชานยอลก็ไปนอนที่เตียงก่อนแล้วกันนะ ไอ้หมาแบค! แม่รู้ว่ามึงได้ยิน! ลงมาเอายานวดแก้ปวดให้ชานยอลแล้วเอาไปนวดให้ด้วย! ถ้าแม่รู้ว่ามึงไม่นวดให้ชานยอลจะแหกปากแกด้วยตะเกียบ! ลงมา!

                ไอ้สาสสสสสสสสสสส!!
                กูพลาดดดดดดดด =[]=!!!!!!!!!!!!



กลางดึกของวันนั้น

                ครืดดดดดดด... ครืดดดดด...

                เสียงโทรศัพท์ของไคสั่นขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขามองหน้าคนตัวเล็กที่กำลังหลับสนิทอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะมองไปที่โทรศัพท์ตัวเอง

                แทมิน~’

                “ฮัลโหล?” ไครับสายเบาๆ เพราะถ้าเสียงดังเกินไปคยองซูอาจจะตื่นได้

                (ทำไมวันนี้พี่ไม่มาหาผมล่ะครับพี่ไค >< ผมคิดถึงพี่จะแย่อยู่แล้วนะ)

                “เอ่อ... พี่คงไม่ว่างซักสามอาทิตย์น่ะ ไปค่าย เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็ต้องไปค่ายแล้ว” เขาโกหกหน้าตาย วันที่จะไปค่ายน่ะมันอาทิตย์หน้าต่างหาก

                (งั้นหรอครับ แย่จัง (._.) งั้นผมจะโทรหาพี่ทุกวันเลยนะ! ^O^)

                “เอ้อ... อย่าเลย พี่ไม่ได้เอามือถือไปน่ะ ทางค่ายเค้าไม่อนุญาต แค่นี้นะ พี่ง่วง” ไคตัดสายและปิดเครื่องทันทีโดยไม่ได้ฟังคำบอกลาของแทมินเลยแม้แต่น้อย เขาล้มตัวนอนอีกครั้งก่อนจะแอบมองคนตัวเล็กที่กำลังซุกหน้าอยู่ในผ้าห่ม ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงที่เบาที่สุด

                “โด้... สามอาทิตย์นี้กูอยู่กับมึงนะ”

                “...”

                “หายป่วยเร็วๆ อย่าทำให้กูกังวล กูไม่ชอบ”


                เอ... เค้าเรียกว่ากังวลหรือเป็นห่วงกันแน่นะ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น